วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แมวเปอร์เซีย




แมวเปอร์เซีย (Persia)



ถิ่นกำเนิดเริ่มแรกคือประเทศอังกฤษ เรียกว่า Longhair ส่วนอเมริกาเรียกว่า Persian แมวเปอร์เซียจะเป็นแมวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่มีโครงร่างหนา กระดูกจะดูใหญ่แข็งแรง หัวกลม ถ้ามองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากอย่างชัดเจน มองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา จะต่างกับแมวเอเชียอย่างแมวไทยซึ่งจมูกกับหน้าผากเมื่อมองจากด้านข้างค่อนข้างจะเป็นเส้นตรง
แมวเปอร์เซียมีหน้าตาหลากหลายแบบ อาจจะดูยากหน่อยระหว่างแมวขนยาวสายพันธุ์อื่นกับ โครงร่างของแมวเปอร์เซียลำตัวจะต้องสั้น ขาสั้นเตี้ยแต่หนาดูแข็งแรง หัวกลมหน้ากลม หูเล็กปลายหูมน หูอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันและไม่สูงเกินไป ตากลมโต หางสั้นแต่ก็ต้องเหมาะสมกับลำตัว หางตรงไม่คดงอบิดเบี้ยวขนยาวหนาฟู ท่วงท่าการเดินดูดีมีสง่า

ประวัติน้องเหมียว





แมวมีชื่อเรียกทั่วไปในภาษาลาตินว่า "เฟลิส คาตัส" (Felis Catus) เป็นสัตว์เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ แมวมีอยู่ในทุกทวีป รูปร่างลักษณะและโครงสร้างคล้ายคลึงกัน แต่ขนาดอาจผิดกันและความยาวของขนต่างกัน แมวเมืองหนาวมีขนยาวกว่าแมวในเมืองร้อน แมวที่นิยมเลี้ยงกันมีหลายพันธุ์ เช่นพันธุ์เปอร์เซีย และพันธุ์ไทยเป็นต้นชาวตะวันตกเชื่อว่าแมวนั้นเดิมเป็นสัตว์ในแอฟริกา ชาวอียิปต์นำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน แมวจึงอยู่กับคนเรื่อยมา จนในที่สุด เผ่าพันธุ์ของแมวก็กระจายไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลก แมวพันธุ์แรกคือ อบิสซีเนียขายาว หน้าแหลมยาว ต่อมาจึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะออกไปต่างๆ นานาตามหลักทางชีววิทยา แต่แมวที่ยังคงลักษณะรูปเดิม คือมีรูปร่างเพรียว หน้าแหลม ตาคม สันนิษฐานว่าเหลือเพียงสามพันธุ์ในโลก คือ แมวอบิสซิเนียน แมวอียิปต์ และแมวไทยแมวทั้งสามพันธุ์นี้หน้าตาไม่แตกต่างกันมากนัก สองชนิดแรกสันนิษฐานว่าอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว คงเหลือแต่"แมวไทย"ที่นับเป็นพันธุ์เก่าแก่ที่สุดในโลกอยู่พันธุ์เดียว บรรพบุรุษของแมวไทยน่าจะเป็นแมวอียิปต์ เพราะมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกันมาก โดยที่ทางอียิปต์เรียกแมวว่า "เมียว" มีข้อสันนิษฐาน การมาของแมวมายังแถบตะวันออกว่า ในการเดินเรือการค้าสมัยโบราณจากอียิปต์มายังแถบตะวันออก อาจจะมีกะลาสีเอาแมวใส่ไว้ในเรือเพื่อจับหนู แมวอียิปต์จึงมาเผยแพร่ถึงทางตะวันออกก็เป็นได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันในสมมติฐานข้อนี้ได้

ธรรมชาติของแมว





ธรรมชาติของแมวจะอยู่กับแมวให้แมวเป็นสุขและคนก็เป็นสุขด้วยก็ควรจะรู้ใจแมวที่เลี้ยงกันสักนิด สำหรับคนที่เลี้ยงแมวมานานแล้วก็คงไม่ต้องอ่านหน้านี้เพราะเชี่ยวชาญกันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ตั้งใจว่าจะรักแมวจริงซะทีต้องมาดูว่าธรรมชาติของแมวเป็นอย่างไรบ้าง แมวเป็นสัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนม มีหูที่ไวต่อเสียงมากและจมูกก็ไวต่อกลิ่นต่าง ๆ ด้วย (แต่น้อยกว่าสุนัข) แมวสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่ได้ยิน หนวดแมวจะใช้สัมผัสวัตถุที่อยู่ใกล้ ๆ แทนการใช้สายตา แมวสามารถมองในที่มืดได้ดี เพราะม่านตาของแมวจะปรับขยายเพื่อรับแสงที่เข้ามาได้เวลาแสงมากม่านตาจะหดตัว ถ้ามองแสงโดยตรงจะเห็นว่าม่านตาจะเป็นเส้นตรงไปเลย ทำให้มองอะไรไม่ชัดเจน แต่ถ้าแสงน้อยม่านตาจะขยายตัว จนจะเห็นได้ว่าตาดำใหญ่เกือบเท่าเบ้าตาทีเดียว ทำให้มองเห็นชัดขึ้น แต่เวลาตกใจกลัวหรือกำลังสนใจอะไรแบบสุด ๆม่านตาก็จะขยายมากขึ้นเหมือนกัน แต่ม่านตาของแมวก็มีข้อเสียอย่างเช่นถ้ากำลังข้ามถนนในเวลากลางคืนแล้วจู่ ๆ ก็มีรถวิ่งมา แสงไฟหน้ารถจะทำให้ม่านตาของแมวหดลงจนเป็นเส้นตรง ดังนั้นแมวก็อาจถูกรถชนได้ แมวยังมีความสามารถพิเศษอีก คือ ความคล่องตัว ด้วยการที่มีน้ำหนักค่อนข้างเบาและกระดูกขาที่แข็งแรงและกล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นได้ดี ทำให้แมวสามารถจะกระโดดได้สูงและไกลกว่าสัตว์อื่น ๆ นอกจากนี้แมวยังสามารถกระโดดลงจากที่สูงได้อย่างปลอดภัย หรือถ้าตกจากที่สูงก็สามารถกลับตัวกลางอากาศเอาขาทั้ง 4 ยันพื้นได้ (แต่ถ้าเป็นแมวตัวอ้วนพีก็อาจท้องแตกได้เพราะความคล่องตัวลดน้อยลงไป) และหางใช้ช่วยในการทรงตัวของแมวด้วย
1. ทำไมแมวชอบร้องเหมียวๆ แมวจะทำเสียงนี้ เมื่อรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เค้าเริ่มรู้จักที่จะสร้างเสียงแบบนี้ ตั้งแต่เป็นลูกแมว ซึ่งจะส่งเสียงนี้ในยามที่ต้องการความอบอุ่นจากแม่แมว และเวลาที่หิวนม ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดจากสมองสั่งการ ให้เกิดเสียงร้องจากการสั่นของกล้ามเนื้อช่องคอนั่นเอง แมวมักจะทำเสียงนี้ในขณะหลับซึ่งคล้ายๆ กับเสียงกรน ครั้งต่อไปหาคุณได้ยินเสียงนี้อีกคุณลองถามเค้าสิว่า เค้าต้องการอะไร

2. ทำไมแมวจึงรักที่จะนอน "แมวขี้เซา" เป็นคำที่ใช้เรียกแมวที่รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ พวกเค้าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับอย่างน้อย 17 ชั่วโมง ต่อวัน ซึ่งเป็น ลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากแมวป่า ที่มักจะไม่ชอบออกล่าเหยื่อ หรือหาอาหารสักเท่าไหร่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแมวชอบที่จะนอนมากกว่า

3. ทำไมแมวจึงชอบที่จะข่วนเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน พฤติกรรมการข่วนของแมวนั้น เกิดจากเหตุผลหลายอย่าง ประเด็นแรกนั้นการข่วนเป็นการฝนเล็บให้สวยงาม และแมวก็มีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งพฤติกรรมนี้ยังเป็นการสร้างอาณาเขตของตัวเอง เพื่อป้องกันผู้บุกรุก แมวมักจะข่วนเป็นแนวตรงกับเสาหรือต้นไม้ ดังนั้น เราจึงควรจัดเตรียมที่ไว้ให้เป็นสัดส่วน สำหรับการฝนเล็บของแมว โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปที่อื่น ถ้าย้ายไปละฮึ่ม....จะข่วนไม่ให้เหลือ....
4. ทำไมแมวจึงชอบนอนหงายแล้วกลิ้งไปมา หลายคนมีความคิดที่ผิดว่าการที่แมวนอนไถหลังกับพื้น เป็นการแสดงพฤติกรรมที่ต้องการกำจัดหมัด ออกจากร่างกาย ในความจริงแล้ว อาการเช่นนี้แสดงออกถึงความไว้วางในในตัวคุณ เป็นการแสดงอาการยอมรับคุณ หรือทักทายคุณ ครั้งหน้าหาคุณพบว่าแมวทำท่าเกลือกกลิ้งต่อหน้าคุณ ให้คุณรู้ว่า เค้าอยากให้คุณแสดงความเป็นมิตรต่อเค้าด้วยการลูบท้อง
5. ทำไมแมวจึงชอบคลอเคลียที่ขาของเรา แมวมีต่อมกลิ่นทั่วร่างกายเช่น ริมฝีปาก, สีข้าง หน้าผาก, หาง เป็นต้น กลิ่นจะกระจายติดตามร่างกายของผู้ที่แมวเข้าไปคลอเคลีย การแสดงอาการเช่นนี้ของแมวบ่งถึงความต้องการที่จะแสดงความเป็นเจ้าของคุณ หากแมวแสดงพฤติกรรมเช่นนี้กับคุณแล้ว จงภูมิใจได้ว่าเค้ารักคุณ

6. ทำไมแมวจึงต้องใช้ถาดทรายแมว เพราะแมวมักจะถ่ายบนถาดทรายเสมอ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ดี โดยเป็นสัญชาติญาณในการดำรงชีวิตในป่า เนื่องจากในป่า แมวจะมีพฤติกรรมหลบซ่อนศัตรูที่ไม่ให้ใครพบเห็น ถือเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน

ประเภท
การแบ่งแยกชนิดของแมวเปอร์เซียนี้สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
1.Solid colour
ประเภท Solid นี้ลักษณะขนจะต้องเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์ ,blue ขนสีเทาเข้ม , black สีขนดำสนิท ,red ขนสีแดงเข้มและสดใส , cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาลช็อคโกแล็ต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์
2.Sliver&Golden
Silver & Golden จะมีลักษณะพิเศษคือ ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น
3.Shade&Smoke
ประเภท Shade & Smoke จะมีลักษณะของสีขน 3 แบบ คือ แบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade
4.Tabby
Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel
5.parti colour
ในประเภท Parti-Color จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม
6. Calico & Bi-Color
ประเภท Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้าอีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆกัน
7. Himalayan
เกิดจาการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาส กับแมวเปอร์เซีย แมวประเภทนี้ก็จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส ของไทย คือ หูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส

พฤติกรรมของแมวการแสดงออกของใบหน้า
หู เป็นจุดที่ไวมาก หูจะถูกยกยื่นไปข้างหลัง เป็นการเตือนที่จะสู่โจมศัตรูในกรณีที่หู โค้งกลับและถูกดึงให้ต่ำลงข้างๆ เป็นสัญญาณของการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู้
หนวด ให้ดูจากตำแหน่งการกระจายตัวของหนวด ถ้าหนวดแผ่ออก แมวกำลังเครียด หรือสนใจอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหนวดดูลาดและรวบไปไว้ข้างแก้มแมวจะอยู่ด้านหลังเป็นพุ่มแสดงถึงความสงบสบายใจ
ลูกตาดำ ม่านดกที่หดเล็กลงจะแสดงถึงความตึงเครียดหรือสนใจอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างมาก ในกรณีที่ม่านตกเปิดกว้าง มันแสดงถึงความประหลาดใจ กลัวหรือเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตัว
การหาว ไม่ใช่การติดต่อของเชื้อโรคหรือแสดงอาการง่วงนอนที่เกิดกับมนุษย์ แต่มันเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความแน่ใจ การแสดงออกแบบนี้เหมือนกับมันจะพูดว่า "ฉันรู้สึกสบายดีนะและคุณคงเป็นอย่างฉันด้วย"




ที่มา : www.google.com

แบบฝึกหัดบทที่ 4

1.มนุษย์สัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไรมีความสำคัญต่อองค์กรอย่างไร จงอธิบาย
มนุษย์สัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์นั้นหรือสังคมนั้นบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษย์สัมพันธ์อันดีและมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกันและกันมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงาน ช่วยเหลือ แบ่งปันและให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การนั้นหรือสังคมนั้นก็มักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่ช่วยเหลือ ต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือกกลุ่มสังคมนั้นๆ เสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆ ไม่มากก็น้อย

2.ลักษณะของกลุ่มทำงานที่มีความสัมพันธ์อันดีมีลักษณะที่ดีอะไรบ้าง จงอธิบาย
1) มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย
-บุคคลส่วนใหญ่มักต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกซึ่งการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยจะสนองความต้องการนี้ได้
2) มีความไว้วางใจและเอในความสามารถซึ่งกันและกัน
-บุคคลทั่วไปมักต้องการความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น ดังนั้นในการทำงานร่วมกันทุกคนควรต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
3) มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน
- มนุษย์ทุกคนมักต้องการความชัดเจนในงานและต้องการความสบายใจในการอยู่ร่วมกันด้วย
4) มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสม
- ในการทำงานและอยู่ร่วมกันในกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อการเป็นผู้ให้ยอมทำให้เกิดความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร
5) มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
- การทำงานร่วมกันโดยหลายคนนั้น ถ้ามีทีมงานที่เหมาะสม คือ มีระบบงานที่ดี มีสายวานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด
6) มีการร่วมมือที่ดี
- การร่วมมือ เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกันของสมาชิกกลุ่ม คือแต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความสำเร็จด้วย
7) ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะทีเอื้อต่อการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
- ในการทำงานร่วมกัน ถ้าผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะบางประการ ที่เอื้อต่อการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คือมีลักษณะ ส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี
3.แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
1) การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริง
2) การมองตนเองและผู้อื่นในทางที่ดี
3) การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี
3.1) ให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน
3.2) ยิ้มแย้ม
3.3) แสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ
3.4) เป็นคู่สนทนาที่ดี
3.5) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3.6) แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ
3.7) แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่นแสดงได้หลายแนวทาง เช่น การเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ
3.8) แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องในโอกาสต่างๆ
4) การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
- ด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น การให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน การแสดงการจำได้ การเป็นคู่สนทนาที่ดี
4.1) สนใจ เอาใจใส่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ติดต่อสื่อสารด้วย
4.2) หลีกเลี่ยงการพูดพิงถึง”คน” เมื่อสนทนาเรื่องภายนอกตัว
4.3) ตั้งคำถามไม่เจาะจง - การตั้งคำถามเพื่อให้คู่สนทนาตอบโดยประเด็นคำถามพุ่งไปสู่คู่สนทนารู้สึก ว่าเขากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากอีกฝ่ายหนึ่ง
4.4) ใช้คำถามเชิงอธิบายแทนการสั่งสอนหรือแนะนำ
4.5) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเมื่อพูดถึงสิ่งที่ดี
4.6) ใช้คำว่า”เรา” เมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นพวก
4.7) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง
4.8) ใช้สรรพนามบุรุษที่สอง-บุรุษที่หนึ่ง หรือ คุณ-ฉัน เมื่อต้องการแสดงความใกล้ชิด
4.9) ใช้คำว่า อย่างไร เมื่อต้องการข้อเท็จจริง
4.10) ใช้คำว่า ทำไม ให้เหมาะสมตามจุดประสงค์
4.11) ใช้วิธีสะท้อนความรู้สึกสะท้อนเนื้อหาคำพูดของคู่สนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจ
4.12) ใช้คำพูดเปิดเผยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจและพร้อมเป็นมิตร

4.การวางแผนตามสถานะและบทบาทในองค์การ “ แบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย”
3 ลำดับ
1) การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา
- โดยผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงานเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา
2) การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ในระดับเดียวกัน
- มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสูงต่อมนุษย์สัมพันธ์ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด
3) การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา
- ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร

งานที่1 หลากมารยาทดีๆในที่ทำงาน

การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียด ที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คน เหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวใน ที่ทำงานก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้นลองนำเคล็ดลับจาก Lisa ไปใช้ดูซีคะ
ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว
คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ย ก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลา กับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหาก คุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์
พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร
หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็น ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุ ขนบธรรมเนียม และมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้น คุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน
ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน
คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควร เอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ ให้เพื่อนร่วมงาน เห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อน ร่วมงานเพราะ มนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศ อีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง

หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี
ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสาง งานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้
จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย
หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควร อยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที
ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น
คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้น คุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่าคุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็น ถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง
ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทางหรือหาก คุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน ในลิฟต์บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอ ผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทาย แล้วจะหัน หน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหน แล้วกดลิฟต์ ให้ด้วย
ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม
เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทาง โน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ ได้หรือระหว่างพักการประชุม ก็โทรศัพท์ ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม
การโต้ตอบอีเมล
ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดี ที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท

ข้อมูลจาก lisa 24 มีนาคม 2551
เขียนโดย vegetablenet ที่ 12:01 ก่อนเที่ยง


การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียดที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้
มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับจาก Lisa ไปใช้ดูซีคะ

ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว
คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์
พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร
หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน
ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน
คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง
หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี
ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเป้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้
จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย
หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที
ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น
คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง
ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน
ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย

ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม
เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม
การโต้ตอบอีเมล ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท


ข้อมูลจาก

Lisa

งานที่2

งานที่2

การพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ
เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดั่งเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ถ้าเราใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎี พบว่า " สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์ " ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะว่า เราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ช้า และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว ? เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจคันพบตัวเองก็ได้ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า? เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจาก คนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตนเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า, คิดไม่ชัดเจนคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ



ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว?
1. เปลี่ยนความคิดจาก Negative >>> Positive
- ทำงานอย่างมีเป้าหมาย : ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น - ต้องรู้ระบบความคิดของเราก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ , เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น - ตัดความคิดในทางNegativeทิ้งแล้วใส่ความคิด Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ,ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือ การสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิด Negative ได้ชั่วคราว3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากพูดคุยกับผู้อื่น, การอ่าน, ต้องคิดหา logic ด้วยตัวเอง, ต้องเห็นด้วยตา--ฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นจำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า• รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว?• ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด--กระตือรือร้นสูงสุด?4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม, การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะ สูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เรามีความสดชื่น กระตือรือร้น แล้วเมื่อเราออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมอง function ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนซ้าย ส่วนขวา และสมองส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วนได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง การทำงานของสมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้• ความจำระยะสั้น >>> ช่วงเช้า• ความจำระยะระยะยาว >>> ช่วงบ่าย• จำเกี่ยวกับตัวเลข >>> ก่อนนอนทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้?ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการพูดคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้1. การสร้างความจำ ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ ภายในเวลา 1 / 1000 วินาที และโดยรู้ตัวหรือไม่ ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองเราครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการ " การลืม " ้องคิดอยู่เหนืออารมณ์ารณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10 %จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเราคำถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้ ?1. จดบันทึก (take note) : เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล2. สร้างภาพ : เพื่อช่วยให้มีความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร• ขนาดใหญ่กว่าความจริง• ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง• เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น2. การอ่าน Information is power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรกคือ ถามตัวเองก่อนกว่า " เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้ " เทคนิคในการอ่านเร็ว1. ควรอ่านไม่มีเสียงในใจ2. การอ่านจับใจความสำคัญ : เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย• เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา key concept >> ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านรึเปล่า เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง >> อ่านเจาะประเด็น ก็ทำให้เราไม่เสียเวลาอ่านทุกหน้า3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่านคือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล สามารถวัดได้จาก เช่น เป็นข้อมูลที่ up date หรือไม่, สำนักพิมพ์อะไร เป็นต้น
3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่ความน่าเชื่อถือ: น่าเชื่อถือ แต่ไม่ชอบพูดเทคนิค: ตั้งคำถาม หรือพูดยั่วยุแต่สุภาพ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ความคิด เพื่อกระตุ้นให้เขาพูด เป็นต้นน่าเชื่อถือ แต่พูดไม่ตรงประเด็น ให้ถามอย่างสุภาพว่า ประเด็นที่กำลังพูดคืออะไร? ช่วยสรุปให้ฟังสัก 2 ประโยคได้มั้ย? ถ้าไม่น่าเชื่อถือให้เราฟังตามมารยาทสังคม2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า " ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร "3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่ หรือไม่ใช่4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์ โดยมีระบบความคิดทั้งหมด 6 ประเภท ดังต่อไปนี้1. Think objectively คิดอย่างเป็นกลาง--เห็นความจริงตรงตามความจริง2. Think productively คิด ตัดสินใจโดยมองที่ "ผล" เมื่อเจอสถานการณ์หนึ่ง แล้วสามารถคิดพิเคราะห์ถึงผลทั้งด้านบวกและลบที่จะตามมา3. Think positively คิดหาทางแก้ปัญหาเมื่อพบอุปสรรคก็ยังสามารถคิดหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส4. Think creatively ความคิดที่สร้างเหตุและปัจจัยอันใหม่ เพื่อสร้างอนาคตของตัวเองความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ที่เคยชินกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจสร้างได้โดยการถามตัวเองว่า "ทำอย่างไรจึงจะทำงานของเราได้ดีกว่าเดิม?" 5. Think intuitively เป็นความคิดที่ได้มาจากการถามความรู้สึกภายใน
6. Think about the mode คิดเกี่ยวกับความคิดตัวเอง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า: นักคิดระดับโลกต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์**ความสงบของจิตไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องหยุดการทำงานทุกสิ่งเข้าป่า หาที่สงบเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ ความสงบที่แท้จริงนี้เราควรหาพบในกิจกรรมการงานต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา**

อ้างอิง http://larndham.net/index.php?showtopic=30689&st=6&#top

หัวข้อการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ เช่น ด้านบุคลิกภาพ และควรฝึกสมองสู่ความเป็นอัจฉริยะ

เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
จากผลการทอดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิดๆ ให้สมองของตัวเอง ดังเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ถ้าเราใส่ software ที่ผิดผลการคำนวณก็ออกมาผิด ถ้าจะเทียบประสิทธิภาพการทำงานของสมองกับคอมพิวเตอร์ในทางทฤษฏีพบว่า สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์ ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะว่า เราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ช้า และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว เมื่อคุณพบคำตอบคุณอาจค้นพบตัวเองก็ได้

ทำไมเราถึงเรียนรู้ช้า
เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตนเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตนเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ทำให้เรียนรู้ช้า คิดไม่ชัดเจนคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ

ทำอย่างไรถึงจะเรียนรู้ได้เร็ว
1. เปลี่ยนความคิดจาก negative เป็น positive
ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่างๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
ต้องรู้ระบบความคิดของเราก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้ เชื่อว่าตนเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น
ตัดความคิดในทาง negative ทิ้งแล้วใส่ความคิด positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ท่านทำได้ เป็นต้น
2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ
จาการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรูได้เร็วเมื่ออยู่ในภาวะผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้นเราจึงควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่นฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือการสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจช่วยยับยั้งความคิด negative ได้ชั่วคราว
3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด
ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจาการพูดคุยกับผู้อื่น การอ่าน ต้องคิดหา logic ด้วยตนเอง ต้องเห็นด้วยตาฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดี่ยว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นจำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า
รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนได้เร็ว
ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด
4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง
จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
5. หมั่นออกกำลังการเป็นประจำ
นอกจากจะทำให้เรามีความสดชื่น กระตือรือร้น แล้วเมื่อเราออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12-20 นาทีจะส่งผลให้สมอง function ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนซ้าย ส่วนขวา และสมองส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วนได้พร้อมๆกันในเวลาเดียว
6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง
การทำงานของสมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้
· ความจำระยะสั้น >>> ช่วงเช้า
· ความจำระยะยาว >>> ช่วงบ่าย
· จำเกี่ยวกับตัวเลข >>> ก่อนนอน
ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้
ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น ดังนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างความจำ ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ได้ภายใน 1/1000 วินาที่ และโดยรู้ตัวหรือไม่ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงความรู้เหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการลืม ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่างๆ อาทิ การอ่าน การฟัง การคิด เป็นต้น จะเกิดการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะทำอย่างไรจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้
1) จดบันทึก เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล
2) สร้างภาพ เพื่อช่วยให้ความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร มีขนาดใหญ่เกินกว่าความจริง ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น
2. การอ่าน ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ต
ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่ายๆ อันดับแรงคือ ถามตัวเองก่อนว่า เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านครั้งนี้
3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูกเก็บลงในสมองของเรา
4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์

ที่มา : http://www.drboonchai.com/